“วินธัย” ปรากฏตัวชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ยืนยันไม่มีปฏิบัติการ IO พร้อมประกาศเพจที่โจมตีนักการเมืองไม่ใช่ของกองทัพ ท้าผู้พบเห็นแจ้งดำเนินคดีได้ทันที ขณะที่ “โรม” แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการใช้ปฏิบัติการ IO ติดตามนักการเมือง
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดการประชุมกมธ.ฯ เพื่อพิจารณาศึกษาปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ทางสื่อสังคมออนไลน์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ พล.อ.ต.วิศัลย์ ธรรมประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการและการข่าว สำนักนโยบายและแผนกลาโหม, พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก, พล.ต.ธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.), พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ, พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.), นายวิสูตร ด้วงมาก ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมาย 3 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนางนวรัตน์ สถาพรนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 3 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ก่อนเริ่มการประชุม นายรังสิมันต์ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่อง IO ว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตั้งแต่สมัยของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่ามีการใช้ปฏิบัติการ IO หลายครั้ง ทั้งต่อประชาชน นักวิชาการ และนักการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่จบเสียที และหลังจากที่มีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือน มีความคาดหวังว่าปฏิบัติการ IO จะยุติลง แต่กลับพบว่าปฏิบัติการดังกล่าวรุนแรงและมีขนาดใหญ่กว่าเดิม
“วันนี้เราเห็นว่าเรื่องการทลายลัง IO มีความก้าวหน้า อย่างน้อยที่สุดประชาชนได้เห็นโครงสร้างนี้แล้ว และ IO เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะ IO การเมืองฝ่ายค้านเท่านั้น แต่พบว่าแม้กระทั่งคนในรัฐบาลหรือคนที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลก็โดน IO ฉะนั้นเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ตนคิดว่าจะต้องมีแนวทางในการแก้ปัญหา และจัดการเรื่องนี้อย่างมีความชัดเจน” นายรังสิมันต์ กล่าว
ประธาน กมธ.ฯ ยังแสดงความคาดหวังว่า “เราไม่ควรจะเห็นการใช้เงินภาษีของประชาชนในการทำข้อมูลปฏิบัติการข่าวสารแบบนี้ เวลาการทำข้อมูลข่าวสารแบบนี้มันเต็มไปด้วยเฟคนิวส์ เต็มไปด้วยการสร้างความเกลียดชัง มีจุดมุ่งหมายสร้างความแตกแยก ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับอุดมการณ์ของกองทัพ อุดมการณ์ของทหารไทย และทำไมเราต้องปล่อยให้ปฏิบัติการแบบนี้ยังมีอยู่”
เมื่อถูกถามว่าส่วนตัวมองการใช้ IO ติดตามนักการเมืองไม่เหมาะสมหรือไม่ นายรังสิมันต์ อธิบายว่า เข้าใจว่าปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารมีความจำเป็นในการรบระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง แต่ปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือการนำเครื่องมือนี้มาใช้กับคนในประเทศราวกับเป็นศัตรูของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้และเป็นการทำลายความมั่นคงเสียเอง
“การที่กองทัพใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอาไว้ทำสงครามกับรัฐอื่น แต่สุดท้ายกลับเอามาใช้กับคนในประเทศ สุดท้ายความมั่นคงความสามัคคีของคนในชาติก็สูญสลายไป สุดท้ายเครื่องมือแบบนี้จะถูกตั้งคำถามทั้งการจัดการ การตัดงบประมาณ แทนที่จะไปจัดการกับพ่อค้ายาเสพติด คนที่ทำลายความมั่นคงก็ทำไม่ได้ เพราะใช้เครื่องมือผิดประเภท จึงทำให้สภาฯไม่ไว้วางใจให้ใช้เครื่องมือแบบนี้ต่อไป กลายเป็นว่าความมั่นคงของประเทศโดยรวมอ่อนแอลง เพราะสาเหตุสำคัญคือหน่วยงานความมั่นคงใช้เครื่องมือในลักษณะแบบนี้ทำลายความมั่นคงของชาติเอง” นายรังสิมันต์ กล่าว
ในการประชุม กมธ.ฯ นายรังสิมันต์ ประธานที่ประชุม ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังในช่วงแรก ซึ่งตัวแทนจากหน่วยงานความมั่นคงทั้ง กอ.รมน., กระทรวงกลาโหม, กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ และสตช. ต่างยืนยันว่าไม่มีนโยบายทำปฏิบัติการ Information Operation หรือ IO แต่เป็นเพียงการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงานของหน่วยงาน รวมถึงบทบาทหน้าที่ของทหารในการป้องกันประเทศ ช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนงานของรัฐบาล
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า กองทัพบกไม่มีการทำ IO แต่คำนี้เป็นคำที่ใช้กันทั่วโลกในการปฏิบัติการทางทหาร เป็นเครื่องมือสื่อสารในการรบและอยู่ในภารกิจป้องกันประเทศ ทั้งนี้ในบริบทของประเทศไทย กองทัพใช้การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและแก้ไขในสิ่งที่เข้าใจผิด ด้วยวิธีการประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมากองทัพพยายามแก้ไขข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยเน้นการสร้างความรับรู้เพื่อปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีขององค์กร ซึ่งทั้งหมดเป็นการกระทำโดยเปิดเผย โดยมีเป้าหมายคือประชาชน
“วันนี้เราใช้ช่องทางออนไลน์สื่อสารเป็นหลัก หากพบว่าไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ก็มีขั้นตอนการดำเนินการอยู่แล้ว เช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และเรื่องการหมิ่นประมาท ที่ดำเนินการได้อยู่แล้ว” พล.ต.วินธัย กล่าว
โฆษกกองทัพบกยังยอมรับว่ามีการติดตามบุคคลที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงนักการเมืองหรือนักวิชาการด้วย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สังคมให้ความสนใจ แต่ยืนยันว่าการติดตามดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะสุดท้ายจะเป็นการต่อสู้กันด้วยข้อเท็จจริง โดยหากมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นจากบุคคลเหล่านั้น ก็จะเร่งชี้แจงก่อน
นอกจากนี้ พล.ต.วินธัย ยังยอมรับว่ากองทัพบกมีการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ในช่องทางออนไลน์ แต่ดำเนินการในลักษณะเปิดเผย ส่วนเพจต่างๆ ที่ออกมาโจมตีนักการเมืองและอ้างว่าเป็นทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงนั้น พล.ต.วินธัย ยืนยันว่าไม่ใช่หน่วยงานของกองทัพ และหากพบเหตุในลักษณะดังกล่าว ก็สามารถดำเนินการตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ทันที
การชี้แจงของทั้งฝ่ายนักการเมืองและฝ่ายกองทัพในวันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งและความเข้าใจที่แตกต่างกันในประเด็นปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ซึ่งฝ่ายนักการเมืองมองว่าเป็นการใช้เครื่องมือทางทหารผิดวัตถุประสงค์และส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในขณะที่ฝ่ายทหารยืนยันว่าไม่มีการใช้ปฏิบัติการ IO แต่เป็นเพียงการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและภารกิจของกองทัพเท่านั้น ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังคงต้องอาศัยความร่วมมือและการหารือร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป