บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAl) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันแรกราคาอยู่ที่ 7.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.35 บาท เหนือจอง 42.34% จากราคาไอพีโอที่ 5.55 บาท
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรกในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “AAI” ราคาอยู่ที่ 7.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.35 บาท เหนือจอง 42.34% จากราคาไอพีโอที่ 5.55 บาท
AAI เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของประเทศ และมีศักยภาพในการผลิตอาหารพร้อมทานชนิดปิดผนึก โดยเป็นบริษัทแกนหลัก (Flagship) ในธุรกิจอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ของกลุ่ม บมจ.เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้หลักกว่าร้อยละ 80 ของบริษัท ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งแบบเปียกและแบบเม็ด ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว โดยได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่าจ้างผลิต (OEM) ที่เป็นผู้ขายสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับสากล ในหลากหลายประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีตราผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม ได้แก่ ตลาดสินค้าพรีเมี่ยม ตลาดมวลชน และตลาดที่แข่งขันด้านราคา เช่น monchou, Maria, Hajiko และ Pro
AAI มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 2,125 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเสนอขาย 637.5 ล้านหุ้นประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดย ASIAN 212.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 425 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญเดิมและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 627.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.55 บาท แก่ประชาชนทั่วไปและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ระหว่างวันที่ 17-26 ตุลาคม 2565 ได้รับเงินจากการระดมทุนทั้งสิ้น 2,353.25 ล้านบาท จากมูลค่าเสนอขาย 3,532.63 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,793.75 ล้านบาท
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำมาเพิ่มขีดความสามารถของบริษัท โดยใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัท และเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน ทั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความเชื่อมั่นของคู่ค้า
AAI มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นในด้านการใช้เงินในการลงทุนหรือหมุนเวียน