NOBLE ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตออกและเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จำนวน 1 รุ่น เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ในขณะเดียวกัน ได้มีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้จากเดิมที่ระดับ “BBB-“ มาที่ระดับ “BBB” โดยมีธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้ไปขยายการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแนวราบมากขึ้น
นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน เปิดเผยว่า NOBLE อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว โดยทาง NOBLE เตรียมที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุกๆ 100,000 บาท โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อขยายการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแนวราบมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในบริษัทร่วมทุน ทั้งนี้ หุ้นกู้ในครั้งนี้และบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ซึ่งหุ้นกู้ที่ออกครั้งนี้และหุ้นกู้ชุดอื่นๆ ของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่ระดับ “BBB-” มาที่ระดับ “BBB” และคาดว่าจะเปิดจองซื้อและให้ผู้ลงทุนขอรับหนังสือชี้ชวนได้ภายในเดือนมกราคม 2565 นี้
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,792 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 936 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย (Pre-sales) สะสมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 5,525 ล้านบาท โดยกว่า 3,400 ล้านบาท มาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 2,100 ล้านบาท มาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการคือ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิลอื่นๆ ที่ทยอยเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และมีรายได้ที่รอการรับรู้หรือ Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3 จำนวน 10,085 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตลอด 3 ปีข้างหน้าจะช่วยสนับสนุนการรับรู้รายได้ของ บริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2565 NOBLE ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวม จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ครอบคลุมในหลายทำเลมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาโครงการในแนวราบจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นเนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเกือบ 50% (ตามสัดส่วนการลงทุนของ NOBLE) โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้น เช่น ในทำเลถนนดอนเมือง ถนนราชพฤกษ์ ถนนเอกมัย-รามอินทรา ถนนกรุงเทพกรีฑา และในทำเลที่ใกล้เมกาบางนา เป็นต้น ซึ่งทางบริษัทฯ มั่นใจว่าจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ หากบริษัทกำหนดรายละเอียดที่แน่นอนแล้วจะแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบอีกครั้ง
อ้างอิง
https://www.mgronline.com/stockmarket